จากนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กวดขัน ปราบปรามอย่างเด็ดขาดกับอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยตำรวจในพื้นที่บูรณาการหาข่าว ปราบปรามขยายผลให้ถึงผู้บงการ ยึดทรัพย์ และนำตัวมาดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด ซึ่งได้ปรากฏทางการสืบสวนพบว่ามีกลุ่มแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติลอบลากสายอินเตอร์เน็ตมุดดิน-ข้ามแดน จึงได้สั่งการให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณการกำลังเข้าปฏิบัติการ

วันนี้ (2 เม.ย.67) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) , พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , พล.ต.ต.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ รอง ผบช.ภ.2 , พล.ต.ต.ชัยต์พจน สูวรรณรักษ์ รอง ผบช.ก.ตร.ช่วยราชการ ภ.2/โฆษก ภ.2 , พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) , พ.ต.อ.จตุรภัทร สิงหัษฐิต รอง ผบก.ภ.จว.สระแก้ว และ พ.อ.กิตติ ประพิตรไพศาล รอง ผบ.กกล.บูรพา ร่วมอำนวยการและแถลงผลการจับกุมตามนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ได้สั่งการให้ตรวจสอบและจับกุมการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด วันที่ 1 เม.ย.2567 เวลา 09.00 น. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , ตำรวจภูธรภาค 2 และตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว ได้สนธิกำลังบูรณาการกับเจ้าหน้าที่สำนักงาน กสทช. และกองทัพบก โดยกองกำลังบูรพา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 นำหมายค้นจากศาลอาญมีนบุรี และศาลจังหวัดสระแก้ว เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย จำนวน 2 จุด ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ จ.สระแก้ว

จุดแรก เป็นอาคารสำนักงานขายคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งที่ไม่ได้มีการก่อสร้าง ลักษณะเป็นอาคารร้าง อยู่ในพื้นที่ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว หลังเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าสถานที่แห่งนี้มีการใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตที่น่าจะเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการพนันออนไลน์ โดยมีบริษัทเอกชนรายหนึ่งเป็นผู้ขอใช้บริการติดตั้งอินเตอร์เน็ตภายในอาคารดังกล่าว ซึ่งเป็นสายอินเตอร์เน็ตแบบ leased line ความเร็วสูง (1000mbps/200mbps) ซึ่งมากกว่าการใช้อินเตอร์เน็ตตามบ้านเรือนทั่วไปอย่างผิดสังเกต นอกจากนี้ยังพบว่า มีการลักลอบฝังสายสัญญาณอินเตอร์เน็ตใต้ดิน ลากผ่านที่ดินของบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งที่อยู่บริเวณด้านหลังอาคารร้างดังกล่าว เป็นระยะทางกว่า 700 เมตร ก่อนจะข้ามแดนไปยังประเทศกัมพูชา และพบอีกว่า มีการขอใช้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในลักษณะเดียวกันมาติดตั้งยังอาคารดังกล่าว รวมทั้งหมด 6 วงจร ตรวจสอบพบหมายเลข IP ที่เปิดให้บริการกว่า 384 หมายเลข มีชื่อผู้ขอใช้บริการอินเตอร์เน็ต จำนวน 4 ราย แต่พบว่าผู้ชำระค่าบริการรายเดือน กลับเป็นบุคคลคนเดียวกัน ทั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนรถขุดดินจากกองกำลังบูรพาฯ เพื่อหาแนววางสายสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ฝังอยู่ใต้ดิน และลากผ่านไปประเทศกัมพูชา ระหว่างการตรวจค้นอยู่นั้น เจ้าหน้าที่พบว่าสายอินเตอร์เน็ตมีร่องรอยถูกตัดจำนวน 3 เส้น จึงทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้าค้นอาคารดังกล่าวไม่ถึง 1 ชั่วโมง ปรากฏภาพชาย 2 คน เข้ามาทำการตัดสายอินเตอร์เน็ตดังกล่าว จึงได้ติดตามตัวชายทั้ง 2 คนมาสอบถาม ได้ความว่ารับคำสั่งจาก “นาย ป.” ให้มาตัดสายดังกล่าว

จุดที่ 2 เจ้าหน้าที่อีกชุดเข้าตรวจสอบบริษัทให้บริการเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต แขวงออเงิน เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร หลังพบว่าเป็นบริษัทที่มีชื่อขอใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตภายในอาคารร้างที่ จ.สระแก้ว พบตัว “นาย ก.” เป็นกรรมบริษัทฯ และเป็นผู้ชำระค่าบริการอินเตอร์เน็ตภายในอาคารร้าง จากการตรวจค้นพบเอกสารเกี่ยวกับการเช่าใช้บริการอินเตอร์เน็ตที่อาคารร้างดังกล่าว และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้อง รวม 9 รายการ จากการสอบถาม “นาย ก.” รับว่าตนเป็นผู้ขอใช้อินเตอร์เน็ตและติดตั้งสายสัญญาณด้วยตนเอง รับว่าจ้างมาจาก “นาย ป.” เป็นรายเดือน เดือนละ 300,000 บาท เป็นเวลาเกือบ 2 ปี

การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 67 (1) พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ฐานประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท โดยหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะขยายผลไปถึงผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ ปฏิบัติการในครั้งนี้ถือเป็นการป้องกันและตัดวงจรการก่ออาชญากรรมทางออนไลน์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การหลอกลวง หรือฉ้อโกงต่างๆ ลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต หากประชาชนมีเบาะแส หรือได้รับความเดือดร้อน สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ www.thaipoliceonline.go.th หรือ สายด่วน AOC 1441