วันนี้ (3 กรกฎาคม 2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และผู้แทนจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ตำรวจภูธรภาค 1-9 และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ร่วมแถลงผลปฏิบัติการปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และแก๊งอาชญากรรมทั่วประเทศ ตามยุทธการ “พิทักษ์ประชาราษฎร์ 767” ณ ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารประชาอารักษ์ กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หลังจาก ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ระดมกำลังตำรวจจาก บช.น. , ตำรวจภูธรภาค 1-9 และ บช.ก. กระจายกำลังเข้าตรวจค้น รวม 183 จุด ทั่วประเทศ เมื่อวานที่ผ่านมา (2 กรกฎาคม 2567)

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร., พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ท.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผบช.ภ.1, พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2, พล.ต.ท.ฐากูร นัทธีศรี ผบช.ภ.3, พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4, พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5, พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผบช.ภ.6, พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบช.ภ.7, พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8 และ พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9

พฤติการณ์ ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายการปฏิบัติงานให้ข้าราชการตำรวจ เพื่อให้มีผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งหนึ่งในนโยบายนั้น เป็นเรื่องการปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. (รรท. ผบ.ตร.ในขณะนั้น) เร่งรัดดำเนินการ

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ รรท.ผบ.ตร ได้สั่งการและมอบหมายให้ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. /อนุกรรมการในการขับเคลื่อนการดำเนินการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล ดำเนินการประชุมวางแผน ทำลายเครือข่ายผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญที่น่าจะก่ออาชญากรรมร้ายแรงในบ้านเมือง

พล.ต.ท.อัคราเดชฯ ได้มอบหมายให้ บช.ก. เป็นหน่วยงานหลัก ในการขับเคลื่อน มีการเรียกประชุมวางแผนกับ ภ.1 – 9 และ บช.น. มาโดยตลอด เพื่อรวบรวมประสานข้อมูล พร้อมคัดกรองเป้าหมาย ซึ่งก่อนที่จะมีปฏิบัติการในครั้งนี้ เมื่อวันที่ 20-24 มิ.ย.67 ตร.ได้มีการได้มีตรวจค้นอาวุธปืนทั่วประเทศในจุดสำคัญ 1,500 จุด เพื่อให้ได้อาวุธ และลดปัญหาการปะทะกันในปฏิบัติการครั้งนี้
และล่าสุดวานนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.จึงได้สั่งการออกแผนปฏิบัติการ ยุทธการ “พิทักษ์ประชาราษฎร์ 767” ในครั้งนี้ ซึ่งแบ่งเป็นเป้าหมายประเภท ผู้มีอิทธิพล 20 ราย, แก๊งอาชญากรรม 116 ราย, กลุ่มเงินกู้โหด 31 ราย, ฮั้วประมูล 19 ราย และ บุกรุกที่สาธารณะ 14 ราย รวมกว่า 200 ราย ตรวจค้น 183 จุดทั่วประเทศ ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการกว่า 2,500 นาย มีผลการปฏิบัติที่น่าสนใจ จำนวน 19 เป้าหมาย โดยแบ่งแยกเป็นกองบัญชาการ ดังนี้

บช.ก. จำนวน 6 เป้าหมาย ได้แก่

  1. แก๊งฮั้วประมูล กำนันนก มีการดำเนินการทั้งหมด 11 โครงการ ซึ่งมี 2 โครงการ พบพยานหลักฐานว่า เครือข่ายกำนันนก มี บริษัทของผู้ใหญ่โยชน์ พ่อของกำนันนก ชนะการประมูล โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันอย่าง เป็นธรรม โดยมีทีมฮั้วประมูล, ทีมซื้อขายรายชื่อ และ บริษัทที่สมยอม โดยบุคคลที่เกี่ยวข้องมากกว่า 70 คน
    ก่อนเกิดเหตุ บริษัท ป.รวีกนก ก่อสร้าง จำกัด และ บริษัท ป.พัฒนารุ่งโรจน์ก่อสร้าง จำกัด เป็นบริษัทในเครือของกำนันนก ก่อนปี 2558 มีรายได้น้อยกว่า 30 ล้านบาท/ปี ต่อมาได้เข้าร่วมการประมูลโครงการรัฐบาลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทดังกล่าวชนะโครงการ จำนวน 100-200 โครงการ/ปี ซึ่งมีผลประกอบการมากที่สุดใน จ.นครปฐม โดยเข้าร่วมประมูลเข้าร่วม 1,527 โครงการ ชนะ 1,327 โครงการ บริษัทที่แพ้และยื่นซองในโครงการส่วนใหญ่ จะเป็นบริษัทเดิมๆ ที่เคยเข้าประมูล มีการทำเป็นขบวนการ เห็นได้ว่าทั้งสองบริษัท มีพฤติการณ์ทุจริตฮั้วการประมูลโครงการของรัฐ จึงได้ทำการสืบสวน พบว่า 9 โครงการ มีมูลเหตุเชื่อว่าเป็น โครงการที่มีการฮั้วประมูล แต่พบว่า ปี 2564 มี 2 โครงการ ที่ บริษัท ป.พัฒนารุ่งโรจน์ก่อสร้าง จำกัด ชนะการประมูล โดยมีทีมฮั้วประมูล ซื้อรายชื่อ 1.2 % จากขบวนขายรายชื่อ และฮั้วไม่ให้บริษัทอื่นยื่นซองประมูล มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกว่า 70 บริษัท และจากการตรวจค้นที่ผ่านมา มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า เกี่ยวข้องกับการฮั้วประมูล บริษัทของผู้ใหญ่โยชน์ พ่อกำนันนก มีทีมฮั้วประมูล, ทีมซื้อขายรายชื่อ และ บริษัทที่สมยอม ทั้งหมด 32 ราย เมื่อวันที่ 24 – 25 มิ.ย.67 พงส.ได้เรียกมาแจ้งข้อกล่าวหา แต่มารับทราบข้อกล่าวหา จำนวน 23 ราย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ในส่วน 9 รายที่ยังไม่มาพบ อยู่ระหว่างประสานงาน ซึ่งคดีดังกล่าวได้มีการพิจารณาร่วมกับพนักงานอัยการ เนื่องจากเป็นคดีพิเศษ เพื่อดำเนินการต่อไป นอกจากเครือข่ายฮั้วการประมูลที่ จ.นครปฐมแล้ว ยังมีเครือข่าวฮั้วประมูล ในพื้นที่อื่นๆ ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบเพิ่มเติม
  2. นายณัฐกิตติ์ฯ (ผู้มีอิทธิพล จ.นครปฐม) ฉายา ส.อบต.นายณัฐกิตติ์ฯ
    นายณัฐกิตติ์ฯ สมาชิก อบต.ห้วยขวาง เป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น เคยต้องคดีอาญาในความผิดฐาน “ฆ่าผู้อื่น” ของ สภ.กำแพงแสน ซึ่งมีพฤติการณ์ในคดีเป็นการใช้อาวุธปืนยิงคู่กรณีเสียชีวิต เนื่องจากผู้ตายยืมเงินแล้วไม่คืน อย่างไรก็ตามหลังจากเกิดเหตุในคดี “ฆ่าผู้อื่น” นายณัฐกิตติ์ฯ ยังสามารถซื้ออาวุธซึ่งมีใบอนุญาตตามกฎหมายได้อีกจำนวนมากถึง 14 กระบอก จากการสืบสวนพบว่านายณัฐกิตติ์ฯ มีการทำธุรกรรมสีเทาทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น ปล่อยกู้ดอกเบี้ยเกินอัตรา และการพนันรูปแบบต่างๆ
  3. นายเฉลิมพงศ์ฯ (ผู้มีอิทธิพล จ.ปราจีนบุรี) ฉายา คิกคาปู้ ปราจีน
    อดีตลูกน้อง สจ.โต้ง ขาใหญ่เมืองปราจีน มีประวัติทำร้ายร่างกาย, ครอบครองอาวุธปืน และยาเสพติดจำนวนมาก ถือเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ เป็นที่เกรงกลัวของชาวบ้านจนมีการกล่าวกันว่า “ตำรวจไม่สามารถทำอะไรมันได้” ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.67 มีพฤติกรรมก่อเหตุทำร้ายร่างกายหน้าสถานบันเทิงชื่อดังใน จ.ปราจีนบุรี จนมีผู้เสียหายโพสต์ร้องเรียนพฤติกรรมไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายของนายเฉลิมพงศ์ฯ ลงโซเชียล ถึงรายการโหนกระแส และสายไหมต้องรอด
  4. บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่สลิด-ป่าโปร่งแดง
    ผู้ต้องหาซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่มีพฤติกรรมบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ประมาณ 10 ไร่ จากการตรวจสอบพบมีร่องรอยการนำรถแบ็คโฮเข้ามาปรับพื้นที่ เปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าธรรมชาติ ตัดต้นไม้ทั่วบริเวณ มีร่องรอยการจุดไฟเผาซากตอไม้จำนวนมาก ลักษณะเป็นการจับจองพื้นที่เพื่อทำการเกษตรในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างร้ายแรง
  5. นายเพ็ญเพชรฯ (แก๊งอาชญากรรม จ.สุพรรณบุรี) ฉายา “เพชร ภูธร”
    มีพฤติกรรมเป็นนักเลงอันธพาล ชอบความรุนแรง มีการใช้และสะสมอาวุธปืนผิดกฎหมาย โพสต์ภาพตนเองพร้อมอาวุธปืนข่มขู่ผู้อื่นทางโซเชียล แอบอ้างสนิทสนมบุคคลสำคัญ และหน่วยงานรัฐต่างๆ
  6. นายอภินันท์ฯ หลาน ศักดิ์ ปากรอ (แก๊งอาชญากรรม จ.สงขลา)
    หลาน “ศักดิ์ ปากรอ” อดีตฆาตกรโหดคดีดังฆ่ายกครัว 5 ศพ เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.สิงหนคร จ.สงขลา ซึ่งต่อมานายอภินันท์ฯ ถูกจับกุมตัวพร้อมอาวุธปืนสงคราม จำนวน 2 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนเกือบ 100 นัด จากการตรวจสอบอาวุธปืนที่ตรวจพบที่นายอภินันท์ฯ พบเคยถูกใช้ยิงถล่มรองนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบาล นาสีทองเสียชีวิต ในพื้นที่ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา ปมเหตุจากการขัดแย้งเรื่องการเมืองท้องถิ่น

ภ.1 จำนวน 2 เป้าหมาย ได้แก่

  1. นายภีรวัฒน์ฯ (หัวหน้าแก๊งหนองไทร จ.สระบุรี)
    มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายยาเสพติดและความรุนแรง มีความอาจเสี่ยงที่จะก่ออาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.67 แก๊งหนองไทรได้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงถล่มหน้าบ้านคู่อริแต่ลูกกระสุนไปถูกชาวบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ปมเหตุขัดแย้งระหว่างแก๊ง จากการตรวจสอบพบมีประวัติการต้องคดีในข้อหา ครอบครองอาวุธปืน, ยาเสพติด และ ทำร้ายร่างกายหลายคดี
  2. แก๊งยาเสพติดเครือข่ายจิ๊บไผ่เขียว จ.พระนครศรีอยุธยา
    แก๊งยาเสพติดเครือข่ายจิ๊บไผ่เขียว ถือเป็นกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญ ซึ่งเจ้าหน้าที่สืบทราบว่ากลุ่มดังกล่าวมีการนำยาเสพติดไปซุกซ่อนในพื้นที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี จึงขยายผลจับกุมเพิ่มเติมจนกระทั่งสามารถตรวจยึดยาเสพติดได้รวมกว่า 7 ล้านเม็ด ถือเป็นการปราบปรามแก๊งยาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่

ภ.2 จำนวน 1 เป้าหมาย ได้แก่

  1. นายศุภกฤชฯ (เงินกู้โหด จ.จันทบุรี)
    หัวหน้าแก๊งปล่อยเงินกู้ตัวตึงตัวแรงในพื้นที่ จ.จันทบุรี แนววัยรุ่นสร้างตัว มีการใช้โซเชียล ข่มขู่ คุกคาม ผู้อื่น, ทำร้ายร่างกาย, ทวงหนี้ มีประวัติคดีการพนัน จำนวน 2 ครั้ง, ลักทรัพย์จำนวน 3 ครั้ง นอกจากนี้ยังทำธุรกิจสีเทาปล่อยเงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยสูง มีพฤติการณ์ทวงหนี้โหด ทำร้ายร่างกายลูกหนี้บาดเจ็บหลายราย

ภ.3 จำนวน 3 เป้าหมาย ได้แก่

  1. นายอำนาจฯ (แก๊งอาชญากรรม จ.ชัยภูมิ)
    มีพฤติการณ์ลักลอบผลิตอาวุธปืนเถื่อนส่งขายทั่วประเทศ มีอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบอาวุธปืน เช่น ลำกล้องปืน, ด้ามปืน และอุปกรณ์อื่นๆมากมาย ตั้งตัวเป็นแก๊งมอมเมาเยาวชนมั่วสุมเสพยาเสพติด มักยิงปืนโดยไม่มีเหตุอันควร สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างมาก
  2. นายยุรนันท์ฯ (แก๊งอาชญากรรม จ.ศรีสะเกษ)
    มีพฤติการณ์เป็นกลุ่มลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ เพื่อส่งให้ลูกค้าตามอำเภอต่างๆใน จ.ศรีสะเกษ ทำให้เกิดผู้ค้ารายย่อย และ ผู้เสพยาเสพติดเกิดขึ้นจำนวนมาก ถือเป็นภัยต่อสังคมอย่างสูง นอกจากนี้ยังมีประวัติการใช้อาวุธปืนข่มขู่บุคคลที่ติดค้างหนี้ยาเสพติด และคดีสมคบจำหน่ายยาเสพติดอีกด้วย
  3. นายสุทธิชัยฯ (แก๊งอาชญากรรม จ.สุรินทร์)
    กลุ่มเครือข่ายขายอาวุธปืนออนไลน์ผ่านกลุ่มไลน์ ชื่อ “บาร์เหล้า .01” เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ได้ทำการล่อซื้ออาวุธปืนไทยประดิษฐ์ชนิดหักลำ จึงได้สืบสวนติดตามจับกุมตัว พบนายโชติธนภัทร์ฯ เป็นผู้จัดส่งอาวุธปืน จึงได้มีการขยายผลเข้าตรวจค้นในพื้นที่ ภาค 3 และ ภาค 6 จนนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดและยึดของกลางอีกจำนวนหลายรายการ ซึ่งถือเป็นการทลายแหล่งผลิตและจำหน่ายอาวุธปืนสำคัญในย่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือและพื้นที่ใกล้เคียงได้ในที่สุด

ภ.4 จำนวน 2 เป้าหมาย ได้แก่

  1. นายกานี หรือ มืด (แก๊งอาชญากรรม จ.สกลนคร)
    เป็นแก๊งจำหน่ายยาเสพติดที่มีพฤติกรรมอุกอาจ รุนแรง มักใช้อาวุธปืนในการข่มขู่ชาวบ้าน มีประวัติยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ขณะทำการล่อซื้อยาเสพติดจนหลบหนีการจับกุมไปได้ นอกจากนี้สมาชิกแก๊งของนายกานีฯ
    ยังประวัติคดีจำหน่ายยาเสพติด, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่, มีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง และ พกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะหลายคดี
  2. นายณัฐวุฒิ (แก๊งอาชญากรรม จ.บึงกาฬ)
    เป็นตัวการทำอาวุธปืน ประกอบ ซ่อมแซม ขายอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ จากการตรวจสอบพบมีประวัติคดีโชกโชน ไม่ว่าจะเป็น คดีเสพยาเสพติด, ครอบครองปืนไม่มีทะเบียน, ทำ อาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืน และสำหรับผลิตอาวุธปืนเพื่อการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาต จากการตรวจค้นที่พักพบอาวุธปืน, เครื่องกระสุนปืน และ สิ่งของผิดกฎหมายหลายรายการ

ภ.5 จำนวน 1 เป้าหมาย ได้แก่

  1. นายภาณุ หรือซิว (แก๊งอาชญากรรม จ.เชียงใหม่)
    เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สืบทราบว่า นายภาณุฯ มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย พบมีการนำปืนหลากหลายชนิดมายิงเล่นภายในพื้นที่ฟาร์มกัญชา ในพื้นที่ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่
    ภ.6 จำนวน 2 เป้าหมาย ได้แก่
  2. นายยุทธภูมิ หรือนง (แก๊งอาชญากรรม จ.พิจิตร)
    เป็นบุคคลที่ชอบพกพาอาวุธปืนติดตัวไปตลอดเวลา มักจะเอาอาวุธปืนออกมาให้ชาวบ้านเห็น และมักจะโอ้อวดว่ารู้จักกับนักการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่น ทำให้เป็นที่หวาดกลัวของชาวบ้านทั่วไป จากการสืบสวนทราบว่านายยุทธภูมิฯ เป็นผู้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงนายวันชัย บุญส่ง ซึ่งเป็นญาติกับภรรยาจนเสียชีวิต ปมสาเหตุเนื่องจากมีปากเสียงในงานบวชนาคที่วัดไผ่หลวง จ.พิจิตร แต่นายยุทธภูมิฯ กลับหลบหนีการจับกุมไปอาศัยอยู่กับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเมื่อจับกุมตัวได้แล้ว กลับให้การปฏิเสธ สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านในพื้นที่มาจนถึงปัจจุบันนี้
  3. นายถ่ายฯ (ผู้มีอิทธิพล จ.อุทัยธานี)
    จากการสืบสวนทราบว่า นายถ่ายฯ มีพฤติกรรมรุนแรง มีประวัติเคยใช้อาวุธปืนลอบยิงผู้อื่นซึ่งมีความขัดแย้งกัน สร้างความเดือดร้อนและหวาดกลัวให้กับเพื่อนบ้านและประชาชนใกล้เคียงในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีประวัติถูกจับกุมข้อหามีอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ในพื้นที่ สภ.ลานสัก อีกด้วย

ภ.7 จำนวน 2 เป้าหมาย ได้แก่

  1. นายสมพงษ์ฯ หรือเสี่ยพงษ์ (แก๊งรับจำนำรถ จ.กาญจนบุรี)
    มีพฤติกรรมรับจำนำรถยนต์และชอบสะสมอาวุธปืน โดย นายสมพงษ์ฯ ประกอบธุรกิจบังหน้าหลายอย่าง เช่น คาร์แคร์ล้างรถ, ร้านอาหาร และร้านก๋วยเตี๋ยวปลา ในพื้นที่ ต.ท่าม่วง อ.ท่าวง จ.กาญจนบุรี แต่เบื้องหลังมีพฤติกรรมแอบประกอบธุรกิจสีเทา เช่น การรับจำนำรถยนต์หลากหลายประเภท โดยจะเก็บรถประเภทต่างๆ ซ่อนอำพรางไว้ในพื้นที่ส่วนตัวจำนวนหลายคัน
  2. นายศิริพงษ์ฯ (แก๊งอาชญากรรม จ.กาญจนบุรี)
    มีพฤติกรรมชอบใช้ความรุนแรง มีประวัติคดีอาญาเกี่ยวกับการใช้กำลัง ทำร้ายร่างกาย ซึ่งเป็นบุคคลที่เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ได้เฝ้าระวัง และสังเกตพฤติกรรมมาโดยตลอด จนนำไปสู่การวางแผนตรวจค้นครั้งนี้ ยุทธการ “พิทักษ์ประชาราษฎร์ 767” ในครั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินการจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสิ้น จำนวน 87 ราย ตรวจยึดอาวุธไม่มีทะเบียน 745 กระบอก, ปืนมีทะเบียน 134 กระบอก, อาวุธสงคราม 2 กระบอก, วัตถุระเบิด 3 ลูก, ไซเลนเซอร์ 2 อัน, กระสุนปืน 6,936 ลูก, แม็กกาซีน 40 อัน, ยาบ้า 7,726,626 เม็ด, ยาไอซ์ 545.98 กรัม, ยาเค 114.41 กรัม, ยาอี 403 กรัม, รถยนต์ 40 คัน, รถจักรยานยนต์ 79 คัน, สมุดบัญชี 13 เล่ม, บัตรกดเงินสด 3 ใบ

ซึ่งปฏิบัติการในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการประกาศสงครามว่า นับแต่นี้ไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลทุกรูปแบบ อย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการเรียกความเชื่อมั่นให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้สามารถทำมาหาเลี้ยงชีพและใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข นอกจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังขอให้คำมั่นว่า ประชาชนผู้ที่ออกมาให้ข้อมูลเบาะแสสำคัญ และเป็นประโยชน์ต่อการปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพลเหล่านี้จะได้รับความคุ้มครอง และข้อมูลทุกอย่างจะเป็นความลับ